top of page

ปัญหาระหว่างทีมที่เกิดขึ้นจากคำถามง่าย ๆ เช่น "เช็คมาหรือยัง"

ree

ในโลกของการทำงานยุคใหม่ เราต่างเผชิญกับสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่กลับสร้างผลกระทบอย่างมหาศาล นั่นคือการสื่อสารที่ดูเหมือนธรรมดา แต่กลับแฝงไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง เมื่อเพื่อนร่วมงานจากแผนกอื่นถามว่า "เช็คมาหรือยัง" หรือ "ก่อนส่งมานี่ตรวจมาหรือเปล่า" คำถามเหล่านี้ไม่ใช่เพียงการขอข้อมูล แต่กลับเป็นการส่งสัญญาณแห่งความไม่ไว้วางใจที่ค่อยๆ กัดกร่อนความสัมพันธ์ในองค์กรอย่างเงียบๆ


ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อการทำงานข้ามแผนกขาดระบบและกระบวนการที่ชัดเจน ทำให้แต่ละแผนกรู้สึกต้องเป็นผู้ตรวจสอบงานของอีกฝ่ายหนึ่ง โดยไม่รู้ตัวว่าการกระทำดังกล่าวกำลังสร้างบรรยากาศแห่งการสงสัยและความไม่มั่นใจที่จะส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานในระยะยาว


📍 จิตวิทยาเบื้องหลัง: ทำไมคำถามธรรมดาถึงสร้างปัญหาใหญ่


เมื่อเราลงลึกไปในจิตวิทยาของการสื่อสาร จะพบว่าคำถามเหล่านี้มีพลังทำลายมากกว่าที่คิด เพราะมันสื่อถึงการสันนิษฐานเชิงลบต่อความสามารถและความรับผิดชอบของผู้อื่น เมื่อใครสักคนถูกถามว่า "เช็คมาหรือยัง" สมองของเขาจะตีความหมายว่าผู้ถามกำลังสงสัยในมาตรฐานการทำงานของเขา ซึ่งเป็นการโจมตีความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเองของคนผู้นั้น


ที่น่าสนใจคือ ผู้ที่ถามคำถามเหล่านี้มักไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายใคร พวกเขาเพียงแต่ต้องการความมั่นใจในงานที่จะต้องรับต่อไป แต่วิธีการสื่อสารที่ขาดการเอาใจใส่ด้านอารมณ์ความรู้สึกกลับสร้างผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามกับเจตนาเดิม นี่คือจุดเริ่มต้นของการสร้างกำแพงล่องหนระหว่างแผนกต่างๆ ในองค์กร


📍วงจรแห่งความไม่ไว้วางใจ: เมื่อปัญหาเล็กกลายเป็นวิกฤตใหญ่


สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปจากการสื่อสารแบบนี้คือการเกิดวงจรแห่งความไม่ไว้วางใจที่หมุนวนไม่หยุด เมื่อพนักงานรู้สึกถูกตั้งคำถามในความสามารถของตน พวกเขาจะเริ่มสร้างกลไกป้องกันตัวเองขึ้นมา นี่อาจหมายถึงการเก็บหลักฐานการทำงานอย่างละเอียดยิบ การส่งอีเมลยืนยันทุกขั้นตอนเล็กๆ น้อยๆ หรือการใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการพิสูจน์ว่าตนเองทำงานถูกต้อง แทนที่จะใช้เวลานั้นในการสร้างสรรค์คุณค่าให้กับองค์กร


ในขณะเดียวกัน แผนกที่มีหน้าที่รับงานต่อก็เริ่มรู้สึกว่าต้องกลายเป็น "ตำรวจ" ที่คอยตรวจสอบงานของแผนกอื่น สิ่งนี้สร้างความเครียดให้กับทุกฝ่าย เพราะไม่มีใครอยากเป็นทั้งผู้ถูกสงสัยและผู้ต้องสงสัย แต่สถานการณ์กลับบีบบังคับให้ทุกคนต้องเล่นบทบาทที่ไม่อยากเล่น


📍 ผลกระทบที่มองไม่เห็น: เมื่อความไม่เชื่อใจกัดกร่อนพื้นฐานองค์กร


ผลที่ตามมาจากปัญหานี้ไม่ได้อยู่แค่ระดับความรู้สึก แต่ส่งผลต่อประสิทธิภาพขององค์กรในภาพรวม เมื่อพนักงานใช้เวลาและพลังงานไปกับการสร้างระบบป้องกันตัวเอง พวกเขาจะมีเวลาน้อยลงสำหรับการคิดนวัตกรรมหรือปรับปรุงกระบวนการทำงาน ความคิดสร้างสรรค์ถูกทำลายลงเมื่อสมองต้องอยู่ในโหมดป้องกันตัวตลอดเวลา


นอกจากนี้ การที่แต่ละแผนกเริ่มทำงานแบบแยกส่วน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตั้งคำถาม ยังส่งผลให้ข้อมูลและความรู้ถูกกักตุนอยู่ในห้องปิด การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างแผนกลดลง และที่สำคัญคือลูกค้าเริ่มรับรู้ได้ถึงความขาดประสานงานนี้ผ่านคุณภาพการบริการที่ไม่ต่อเนื่อง


✅ การเปลี่ยนแปลงจากภายใน: เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนภาษา


การแก้ไขปัญหานี้ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดและวิธีสื่อสาร แทนที่จะใช้คำถามที่มีนัยแฝงของความสงสัย เราควรปรับเป็นการสื่อสารที่แสดงถึงความต้องการสนับสนุนและความร่วมมือ เมื่อเราเปลี่ยนจาก "เช็คมาหรือยัง" เป็น "ต้องการความช่วยเหลืออะไรในการตรวจสอบเพิ่มเติมไหม" เราไม่ได้เพียงแค่เปลี่ยนคำพูด แต่เปลี่ยนพลังงานทั้งหมดของการสื่อสารจากการตั้งคำถาม มาเป็นการเสนอการสนับสนุน


การเปลี่ยนแปลงนี้ต้องอาศัยความตั้งใจและการฝึกฝน เพราะหลายครั้งเราใช้คำพูดแบบเดิมโดยไม่ได้คิด แต่เมื่อเราเริ่มให้ความสำคัญกับผลกระทบของคำพูดต่อความรู้สึกของผู้อื่น เราจะพบว่าการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ นี้สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ได้


✅ สร้างระบบที่โปร่งใสและเชื่อถือได้


นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงวิธีสื่อสารแล้ว องค์กรยังต้องสร้างระบบที่ช่วยลดความจำเป็นในการตั้งคำถามเหล่านี้ การมีระบบติดตามงานที่โปร่งใส ที่ทุกแผนกสามารถเห็นสถานะความคืบหน้าได้แบบเรียลไทม์ จะช่วยลดความกังวลและความไม่แน่ใจ เมื่อทุกคนเข้าถึงข้อมูลเดียวกัน ความต้องการในการ "สอบสวน" จะลดลงอย่างเป็นธรรมชาติ


การกำหนดมาตรฐานและขั้นตอนการทำงานร่วมกันแบบชัดเจนก็เป็นอีกหนทางหนึ่ง เมื่อทุกฝ่ายรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่คาดหวัง และมีเครื่องมือในการตรวจสอบมาตรฐานเหล่านั้น การสื่อสารจะเปลี่ยนจากการตั้งคำถามในความสามารถ มาเป็นการอ้างอิงมาตรฐานที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า


✅ ปลูกฝังวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้และการเติบโต


ในระยะยาว การแก้ไขปัญหานี้อย่างยั่งยืนต้องอาศัยการปลูกฝังวัฒนธรรมที่มองข้อผิดพลาดเป็นโอกาสในการเรียนรู้ แทนที่จะเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงหรือซ่อนเร้น เมื่อพนักงานรู้สึกปลอดภัยในการยอมรับและแชร์ความผิดพลาด พวกเขาจะไม่ต้องใช้พลังงานไปกับการป้องกันตัว และจะมีพื้นที่ใจในการสร้างสรรค์และปรับปรุงมากขึ้น


ผู้นำองค์กรมีบทบาทสำคัญในการสร้างบรรยากาศนี้ ด้วยการแสดงตัวอย่างในการรับผิดผิดพลาดของตนเอง การถามคำถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นแทนการตั้งข้อสงสัย และการเฉลิมฉลองความพยายามในการปรับปรุง แม้ว่าผลลัพธ์อาจจะไม่สมบูรณ์แบบก็ตาม


ปัญหาที่เกิดจากคำถาม "เช็คมาหรือยัง" อาจดูเล็กน้อย แต่สะท้อนถึงความท้าทายที่ใหญ่กว่าในการสร้างองค์กรที่มีประสิทธิภาพในยุคที่การทำงานข้ามแผนกเป็นสิ่งจำเป็น การแก้ไขต้องเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดเกี่ยวกับการสื่อสาร การสร้างระบบที่สนับสนุนความโปร่งใส และการปลูกฝังวัฒนธรรมที่ให้คุณค่ากับการเรียนรู้มากกว่าการหาความผิด


เมื่อเราสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่ทุกคนรู้สึกได้รับการเชื่อถือและสนับสนุน เราจะไม่เพียงแค่แก้ไขปัญหาการสื่อสารเท่านั้น แต่จะปลดปล่อยศักยภาพที่แท้จริงของทีมงาน และสร้างองค์กรที่เข้มแข็งและยั่งยืนในระยะยาว

 
 
 

Comments


ติดตามข่าวสารและอัปเดตจาก dots.

Thanks for subscribing.

bottom of page