top of page

บริหาร Empathy อย่างไร ให้ไม่เป็น Sympathy (เวอร์ชันคนทำงาน)

ree

ในทุกที่ทำงาน เราต่างเคยมีช่วงเวลาที่ต้องฟังปัญหาเพื่อนร่วมงาน รับมืออารมณ์ของทีม หรือสนทนากับใครสักคนที่กำลังหนักใจอยู่ นี่คือพื้นที่ที่ “Empathy” กลายเป็นทักษะสำคัญ—เพราะมันช่วยให้เรารับฟังอย่างเข้าใจ เชื่อมต่อกันได้ดีขึ้น และทำงานร่วมกันได้ลื่นไหลกว่าเดิม


แต่สิ่งที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงคือ Empathy สามารถ “ล้น” ได้ และเมื่อมันล้น มันเริ่มเปลี่ยนเป็น “Sympathy” โดยที่เราไม่รู้ตัว จากการเข้าใจผู้อื่น กลายเป็นการรู้สึกแทนเขา หรือเผลอสงสารเขาในแบบที่ไม่ได้ช่วยให้เขาแก้ปัญหาได้จริง แถมยังทำให้เราเหนื่อยล้าทางอารมณ์มากขึ้น


การบริหาร Empathy จึงไม่ใช่เรื่องของหัวใจอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของสติและขอบเขต—ทักษะที่คนทำงานทุกคนต้องมี หากไม่อยากหมดแรงจากการเป็นที่พึ่งของคนรอบตัวอยู่ตลอดเวลา


Empathy ทำให้เรา “อยู่กับเขา” แต่ Sympathy อาจทำให้เราหลุดจากตัวเอง


Empathy คือการเข้าใจสถานการณ์จากมุมของอีกฝ่าย รับรู้อารมณ์ของเขา พร้อมอยู่ตรงนั้นอย่างตั้งใจ แต่ยังคงยืนบนพื้นของตัวเองได้มั่นคงพอที่จะคิด วิเคราะห์ และตอบสนองได้อย่างเหมาะสม


Sympathy กลับทำให้เราหลุดจากจุดนั้น เพราะมันพาเราไปสู่ความรู้สึกสงสาร เห็นใจ หรือรู้สึกหนักเหมือนเราเป็นคนเจอเอง ซึ่งฟังดูอบอุ่น แต่จริง ๆ อาจทำให้เราตอบสนองแบบผิดทิศ เช่น ปลอบมากเกินไป ยอมมากเกินไป หรือเผลอแบกรับอารมณ์ของเขาไว้กับตัวจนเหนื่อยกว่าเดิม


ในที่ทำงาน สิ่งนี้อาจส่งผลต่อการทำงานร่วมกัน การตัดสินใจ และแม้แต่สุขภาพจิตของเราเอง


Empathy ที่ดีคือการแยกให้ออกว่า “ความรู้สึกไหนของเรา” และ “ความรู้สึกไหนของเขา”


หลายครั้งที่เราฟังคนเล่าเรื่องยาก ๆ แล้วรู้สึกเหนื่อยแทน หรือกังวลแทน จนกลายเป็นว่าเราจมลงไปด้วย วิธีบริหาร Empathy ไม่ให้ไหลกลายเป็น Sympathy คือการตั้งหลักในใจว่า “สิ่งที่เขารู้สึก เป็นของเขา” และ “สิ่งที่เรารู้สึก เป็นของเรา”


การตระหนักแบบนี้ทำให้เรารับฟังได้โดยไม่ดูดซับทั้งหมดเข้ามา ช่วยให้เรายังคิดได้ชัด ช่วยได้ตรงจุด และไม่หมดไฟไปก่อนใคร


การฟังอย่างตั้งใจ ไม่ได้แปลว่าต้องรับอารมณ์ทั้งหมดมาไว้ในใจ


บางครั้งคนที่มี Empathy สูงมักคิดว่าการช่วยคือการเจ็บตามหรือกังวลตาม แต่จริง ๆ แล้วสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการคือ “พื้นที่ให้เขารู้สึกโดยไม่ถูกตัดสิน” มากกว่า


ด้วยเหตุนี้เอง เราไม่จำเป็นต้องจมลงไปด้วย เพื่อจะพิสูจน์ว่าเราเข้าใจแต่อย่างใด หากแต่เราสามารถอยู่เคียงข้างเขาอย่างมั่นคงก็สามารถเป็นการช่วยเหลือที่ดีมาก ๆ ได้ด้วยเช่นกัน


เมื่อ Empathy ถูกบริหารดี ความสัมพันธ์ในที่ทำงานดีขึ้นโดยไม่ต้องสูญเสียพลังงานเกินจำเป็น


การตั้งขอบเขตทางอารมณ์ไม่ได้ทำให้เราดูเย็นชา แต่ทำให้เรามีพื้นที่พอที่จะรับฟังคนอื่นได้ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็ปกป้องสุขภาพจิตและพลังงานของตัวเองในระยะยาว


สำหรับคนทำงานทั่วไป นี่คือความสมดุลที่สำคัญมาก—เพราะความสัมพันธ์ในที่ทำงานคือสิ่งที่เราต้องเจอทุกวัน หากเราไม่บริหาร Empathy ให้ดี เราอาจกลายเป็น “ที่รับอารมณ์ประจำแผนก” โดยไม่ตั้งใจ และนั่นคือเส้นทางลัดไปสู่ความเหนื่อยล้าทางใจ


ท้ายที่สุด Empathy ที่ดีไม่ใช่การจมไปด้วยกัน แต่คือการยืนอยู่ใกล้ ๆ พอให้เขารู้ว่า “เราอยู่ตรงนี้กับคุณ” โดยที่เรายังรักษาตัวเองไว้ได้ครบถ้วน

 
 
 

ความคิดเห็น


ติดตามข่าวสารและอัปเดตจาก dots.

Thanks for subscribing.

bottom of page