top of page

ทำไมบางคนถึงเชื่อว่าตัวเองรู้ไปทุกอย่าง

ree

ในที่ประชุม ในห้องเรียน หรือในองค์กรที่เต็มไปด้วยผู้มีประสบการณ์ เรามักพบคนบางกลุ่มที่พูดด้วยความมั่นใจสูงว่า “เรื่องนี้ผมรู้หมดแล้ว” หรือ “ไม่เห็นต้องเรียนอะไรเพิ่ม” ความมั่นใจลักษณะนี้มักถูกตีความว่าเป็นสัญญาณของความเก่ง ความเชี่ยวชาญ หรือประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน


แต่สิ่งที่งานวิจัยด้านจิตวิทยาพบกลับน่าคิดกว่านั้นมาก เพราะในหลายกรณี ความรู้สึกว่าตัวเอง “รู้ไปหมดแล้ว” ไม่ได้เกิดจากการรู้จริง หากเกิดจากกลไกของสมองที่ทำให้เราประเมินความเข้าใจของตัวเองสูงเกินความเป็นจริง


ทั้งนี้ความมั่นใจไม่ใช่สิ่งผิด หากแต่มันคือการชวนตั้งคำถามว่า เหตุใดสมองมนุษย์จึงสร้างความมั่นใจเกินจริงได้ง่าย และเหตุใดความมั่นใจเช่นนั้นจึงกลายเป็นกับดักที่บั่นทอนการเรียนรู้ ทั้งในระดับบุคคลและระดับองค์กร


เราคิดว่าเข้าใจ มากกว่าที่เข้าใจจริง


มนุษย์จำนวนมากเชื่อว่าตนเองเข้าใจเรื่องซับซ้อนต่าง ๆ ได้ดี ไม่ว่าจะเป็นระบบเศรษฐกิจ เทคโนโลยีสมัยใหม่ การเมือง หรือแม้แต่พฤติกรรมของผู้คน ความเข้าใจนี้มักอยู่ในระดับ “ภาพรวม” และให้ความรู้สึกมั่นใจว่าเพียงพอแล้ว


ปัญหาจะเริ่มชัดเจนเมื่อเราถูกขอให้อธิบายเรื่องเหล่านั้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เช่น อธิบายว่าระบบหนึ่งทำงานอย่างไรตั้งแต่ต้นจนจบ หรือเหตุใดผลลัพธ์หนึ่งจึงเกิดขึ้นจริง ๆ ณ จุดนั้นเอง ช่องว่างของความเข้าใจจะเริ่มปรากฏ


ปรากฏการณ์นี้สะท้อนสิ่งที่นักวิจัยเรียกว่า “ภาพลวงตาของความเข้าใจเชิงอธิบาย” กล่าวคือ เรารู้สึกว่าเข้าใจเรื่องหนึ่งลึกซึ้ง ทั้งที่ในความเป็นจริง ความเข้าใจนั้นยังตื้น คลุมเครือ และเต็มไปด้วยส่วนที่เราไม่เคยคิดผ่านอย่างจริงจัง สมองของเรากลับตีความความคลุมเครือนั้นว่าเป็นความรู้ ส่งผลให้เราไม่รู้สึกจำเป็นต้องเรียนรู้เพิ่มเติม


เมื่อการรู้น้อย ทำให้มองไม่เห็นว่าตัวเองรู้น้อย


อีกหนึ่งกลไกสำคัญคือปรากฏการณ์ที่อธิบายว่า คนที่มีความรู้หรือทักษะต่ำในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มักประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินจริง ไม่ใช่เพราะพวกเขาตั้งใจโอ้อวด แต่เพราะพวกเขายังขาดความเข้าใจเชิงลึกมากพอที่จะมองเห็นขอบเขตของความไม่รู้ของตัวเอง


การตระหนักว่า “เรายังไม่รู้” ต้องอาศัยความรู้ระดับหนึ่งเป็นพื้นฐาน เมื่อยังไปไม่ถึงจุดนั้น สมองจะไม่สามารถประเมินช่องว่างได้อย่างแม่นยำ ผลลัพธ์จึงกลายเป็นภาพย้อนแย้งที่พบได้บ่อย คือคนที่รู้น้อยกลับมั่นใจมาก ขณะที่คนที่รู้ลึกจริงกลับระมัดระวังในการสรุปและมักตั้งคำถามกับความคิดของตัวเองอยู่เสมอ


ในโลกการทำงาน นี่คือเหตุผลว่าทำไมเสียงที่ฟังดูมั่นใจที่สุดในห้อง อาจไม่ใช่เสียงที่เข้าใจปัญหาได้ลึกที่สุดเสมอไป


ทางลัดของสมอง กับความมั่นใจที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว


สมองมนุษย์ถูกออกแบบมาให้ทำงานอย่างประหยัดพลังงาน เราจึงพึ่งพาทางลัดทางความคิดเพื่อช่วยให้ตัดสินใจได้รวดเร็วและไม่ต้องวิเคราะห์ทุกอย่างตั้งแต่ต้น ทางลัดเหล่านี้มีประโยชน์ในชีวิตประจำวัน แต่ก็สร้างผลข้างเคียงสำคัญ นั่นคือความรู้สึกว่า “ฉันเข้าใจแล้ว” โดยที่ยังไม่ได้ลงลึกในรายละเอียด


เมื่อผนวกกับอคติที่ทำให้เรามั่นใจในความถูกต้องของตัวเองมากเกินไป ความมั่นใจจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีใครตั้งคำถามอย่างจริงจัง หรือไม่มี feedback ที่ท้าทายสมมติฐานเดิมของเรา ในบริบทเช่นนี้ ความไม่รู้ไม่ได้ถูกเปิดโปง แต่ถูกกลบเกลื่อนด้วยความรู้สึกว่า “พอแล้ว”


กับดักนี้อันตรายเป็นพิเศษในระดับองค์กร


เมื่อความรู้สึกว่า “รู้หมดแล้ว” กลายเป็นบรรทัดฐานของทีม หรือของผู้นำ องค์กรจะเริ่มสูญเสียความสามารถในการเรียนรู้โดยไม่รู้ตัว การตัดสินใจผิดพลาดมีแนวโน้มเกิดซ้ำ เพราะไม่มีใครย้อนกลับไปตั้งคำถามกับกรอบความคิดเดิม มุมมองใหม่ถูกปฏิเสธอย่างเงียบ ๆ และบทเรียนจากความล้มเหลวไม่ถูกแปลงเป็นความรู้จริง


องค์กรที่แข็งแรงทางปัญญาไม่ใช่องค์กรที่เต็มไปด้วยคนเก่งที่สุดเพียงอย่างเดียว แต่คือองค์กรที่ออกแบบสภาพแวดล้อมให้คนกล้ายอมรับว่าตนเองยังไม่รู้ และมองการตั้งคำถามเป็นจุดเริ่มต้นของความก้าวหน้า ไม่ใช่สัญญาณของความอ่อนแอ


การเรียนรู้เริ่มต้นจากการยอมรับว่า “ยังไม่รู้”


ทางออกของปัญหานี้ไม่ใช่การทำให้คนมั่นใจน้อยลง แต่คือการปรับความมั่นใจให้สอดคล้องกับความเป็นจริง การฝึกอธิบายเรื่องยากให้คนที่ไม่รู้เลยฟัง การเปิดรับ feedback ที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ และการเปรียบเทียบความคิดของตัวเองกับผู้เชี่ยวชาญตัวจริง ล้วนเป็นวิธีที่ช่วยลดภาพลวงตาของความเข้าใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ในโลกที่ซับซ้อนขึ้นทุกวัน อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดของการเรียนรู้ อาจไม่ใช่การไม่รู้ แต่คือการเชื่ออย่างแน่วแน่ว่า เราไม่มีอะไรต้องเรียนรู้อีกแล้ว

 
 
 

ความคิดเห็น


ติดตามข่าวสารและอัปเดตจาก dots.

Thanks for subscribing.

bottom of page