top of page

ทักษะที่หัวหน้าพึงมี เมื่อ Mental Health กลายเป็นโจทย์สำคัญของการทำงาน


ree

ในวันที่ความเครียด ความไม่แน่นอน และแรงกดดันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตการทำงาน คำว่า Mental Health ไม่ได้เป็นเรื่องส่วนตัวของพนักงานอีกต่อไป แต่กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อผลงาน ทีมเวิร์ก และความยั่งยืนขององค์กรโดยตรง สิ่งที่เปลี่ยนไปไม่ใช่แค่ระดับความเครียดของคนทำงาน แต่คือ “บทบาทของหัวหน้า” ที่ไม่สามารถยืนอยู่ในกรอบการสั่งงานและวัดผลแบบเดิมได้อีกแล้ว


หัวหน้าที่รับมือกับโจทย์นี้ได้ดี ไม่จำเป็นต้องเป็นนักจิตวิทยา และไม่ควรพยายามทำหน้าที่แทนผู้เชี่ยวชาญ สิ่งที่องค์กรต้องการจริง ๆ คือหัวหน้าที่มีชุดทักษะเฉพาะทางบางอย่าง ซึ่งทำหน้าที่คล้าย “ด่านแรก” ของการดูแลสุขภาพใจในที่ทำงาน


หนึ่ง ทักษะในการมองคนโดยไม่ตัดสิน

ทักษะพื้นฐานที่สุดคือความสามารถในการแยก “พฤติกรรมที่เกิดขึ้น” ออกจาก “การตีตราตัวบุคคล” หัวหน้าที่ดีจะไม่รีบด่วนสรุปว่าลูกน้องขาดความรับผิดชอบ อ่อนแอ หรือไม่ทุ่มเท แต่จะตั้งคำถามกับสิ่งที่สังเกตเห็นได้จริง เช่น งานที่พลาดบ่อยขึ้น สมาธิที่ลดลง หรือพลังงานในการทำงานที่เปลี่ยนไป วิธีคิดแบบนี้ช่วยให้การสนทนาโฟกัสที่ผลกระทบต่องานและทางออก มากกว่าการกล่าวโทษ


สอง ทักษะการสังเกตเชิงระบบ ไม่ใช่อารมณ์ชั่วคราว

ปัญหาด้านสภาพจิตใจไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน หัวหน้าจำเป็นต้องมองเห็น “รูปแบบ” มากกว่าเหตุการณ์ครั้งเดียว การขาดงานซ้ำ ๆ การถอนตัวจากทีม หรืออารมณ์ที่เปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง ล้วนเป็นข้อมูลเชิงระบบที่สะท้อนว่าบางอย่างอาจไม่ปกติ ทักษะนี้ช่วยให้หัวหน้าเข้าไปคุยได้เร็วพอ ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามจนกระทบผลงานหรือความสัมพันธ์ในทีม


สาม ทักษะการสนทนาที่สร้างความปลอดภัยทางใจ

หลายองค์กรมีนโยบายเรื่อง Mental Health แต่ล้มเหลวเพราะ “คุยกันไม่ได้จริง” หัวหน้าที่มีทักษะจะรู้จักฟังอย่างตั้งใจ ใช้คำถามปลายเปิด และสะท้อนความเข้าใจกลับไปโดยไม่รีบให้คำแนะนำ ความปลอดภัยทางใจไม่ได้เกิดจากการพูดคำสวย ๆ แต่เกิดจากประสบการณ์ที่พนักงานรู้สึกว่า พูดแล้วไม่โดนตัดสิน ไม่โดนลงโทษ และไม่ถูกมองว่าเป็นภาระ


สี่ ทักษะการบริหารผลงานด้วยความชัดเจนและความเข้าใจ

การใส่ใจสุขภาพจิตใจไม่ได้แปลว่าลดมาตรฐานการทำงาน หัวหน้าที่เก่งจะสามารถถือสองสิ่งนี้พร้อมกันได้ คือความชัดเจนเรื่องความคาดหวัง และความยืดหยุ่นเชิงวิธีการ เช่น การปรับลำดับความสำคัญของงาน การแบ่งภาระชั่วคราว หรือการกำหนดจังหวะการทำงานใหม่ คำถามสำคัญไม่ใช่ “ทำไมยังทำไม่ได้” แต่คือ “ต้องปรับอะไร เพื่อให้ทำได้อย่างยั่งยืน”


ห้า ทักษะการตั้งขอบเขตและการส่งต่ออย่างมืออาชีพ

หัวหน้าที่ดีต้องรู้ว่าอะไรคือหน้าที่ของตน และอะไรควรถูกส่งต่อ การพยายามแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยตัวเองไม่ใช่ความรับผิดชอบ แต่คือความเสี่ยง การแนะนำให้ใช้ทรัพยากรขององค์กร หรือผู้เชี่ยวชาญภายนอก เป็นการดูแลทั้งพนักงานและตัวหัวหน้าเอง ขอบเขตที่ชัด ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ห่างขึ้น แต่ทำให้ทุกฝ่ายปลอดภัยกว่าในระยะยาว


ท้ายที่สุด เรื่องของ Mental Health ไม่ได้เปลี่ยนหัวหน้าให้ต้อง “อ่อนโยนขึ้นอย่างเดียว” แต่บังคับให้หัวหน้าต้อง “เก่งขึ้นในมิติที่ลึกกว่าเดิม” คือการเข้าใจมนุษย์ในฐานะระบบ ไม่ใช่แค่ทรัพยากร เมื่อหัวหน้ามีทักษะเหล่านี้ การดูแลสุขภาพใจจะไม่ใช่งานเพิ่ม แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารผลงานที่มีคุณภาพ และทำให้องค์กรเดินต่อไปได้อย่างมั่นคงกว่าเดิม


ree

 
 
 

ความคิดเห็น


ติดตามข่าวสารและอัปเดตจาก dots.

Thanks for subscribing.

bottom of page