top of page

Fast Thinking ส่งผลต่อ Strategic Thinking อย่างไร

ree

ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนเร็ว การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์จำนวนมากไม่ได้เกิดขึ้นในห้องประชุมที่มีข้อมูลครบถ้วน แต่เกิดขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอน เวลาอันจำกัด และแรงกดดันสูง ภายใต้บริบทเช่นนี้ “Fast Thinking” หรือการคิดแบบอัตโนมัติและอาศัยสัญชาตญาณ มักเข้ามามีบทบาทโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ว่า เราควรใช้ Fast Thinking หรือไม่แต่คือ เราควรใช้มันอย่างไร โดยไม่ทำลายคุณภาพของ Strategic Thinking


Fast Thinking คือพลังที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของผู้นำ


Fast Thinking (หรือ System 1 ตามกรอบของ Daniel Kahneman) คือการคิดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อัตโนมัติ และแทบไม่ต้องใช้พลังงานทางสมอง มันอาศัยรูปแบบที่สมองเคยพบ ประสบการณ์ที่ผ่านมา และอารมณ์ในขณะนั้น ผู้นำที่มีประสบการณ์สูงมัก “รู้สึกได้ทันที” ว่าตลาดกำลังเปลี่ยน คู่แข่งกำลังขยับ หรือทีมกำลังมาถึงจุดเสี่ยง แม้ยังไม่มีตัวเลขรองรับครบถ้วน


ในแง่นี้ Fast Thinking เป็นเครื่องมือสำคัญ เพราะโลกจริงไม่เปิดโอกาสให้เราคิดช้าเสมอไป กลยุทธ์จำนวนมากเริ่มต้นจากสัญชาตญาณ ไม่ใช่จากสเปรดชีต


เมื่อ Fast Thinking กลายเป็นข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์


Fast Thinking ช่วย Strategic Thinking ได้อย่างมีนัยสำคัญในอย่างน้อยสองมิติ


มิติแรกคือ ความเร็วในการมองเห็นรูปแบบ ผู้นำที่ผ่านสนามรบมาแล้วจำนวนมากสามารถเชื่อมโยงสัญญาณอ่อน ๆ จากตลาดเข้าด้วยกันได้รวดเร็วกว่าการวิเคราะห์เชิงโครงสร้างแบบเต็มรูปแบบ นี่คือเหตุผลที่ผู้บริหารระดับสูงมัก “รู้ก่อน” ว่ากลยุทธ์เดิมกำลังหมดอายุ แม้ข้อมูลจะยังไม่ฟ้องชัด


มิติที่สองคือ ความคิดสร้างสรรค์เชิงกลยุทธ์ Fast Thinking ช่วยให้สมองเชื่อมโยงไอเดียที่ดูไม่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน เปิดทางให้โอกาสใหม่ โมเดลธุรกิจใหม่ หรือการเคลื่อนไหวที่คู่แข่งคาดไม่ถึง หากพึ่งพาแต่การวิเคราะห์เชิงเหตุผลเพียงอย่างเดียว กลยุทธ์จำนวนมากจะปลอดภัยเกินไป และไม่แตกต่าง


ด้านมืดของ Fast Thinking ต่อ Strategic Thinking


อย่างไรก็ตาม ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ Fast Thinking เอง แต่อยู่ที่การ ปล่อยให้มันครอบงำการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์โดยไม่มีการตรวจสอบ


Fast Thinking ใช้ทางลัดทางความคิด (heuristics) ซึ่งมักนำไปสู่อคติอย่างเป็นระบบ เช่น ความมั่นใจเกินจริง การเลือกมองเฉพาะข้อมูลที่สนับสนุนความเชื่อเดิม หรือการให้น้ำหนักกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นมากเกินไป ในบริบทที่ซับซ้อนและไม่แน่นอน อคติเหล่านี้สามารถบิดเบือนการอ่านเกมเชิงกลยุทธ์ ทำให้ผู้นำประเมินความเสี่ยงต่ำไป ตีความสัญญาณผิด หรือยึดติดกับ “เรื่องเล่าเชิงกลยุทธ์” ที่ฟังดูดีแต่ไม่ตรงกับความจริง


หลายความล้มเหลวเชิงกลยุทธ์ในองค์กรขนาดใหญ่ ไม่ได้เกิดจากการขาดข้อมูล แต่เกิดจากการที่ Fast Thinking ถูกมองว่าเป็น “ประสบการณ์” และจึงไม่ถูกตั้งคำถาม


กลยุทธ์ที่ดี ไม่ได้เลือกข้างระหว่างเร็วหรือช้า


งานวิจัยด้านคุณภาพการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ชี้ชัดว่า ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดไม่ได้มาจากการเลือกใช้ Fast Thinking หรือ Slow Thinking (System 2) อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เกิดจากการออกแบบให้ทั้งสองทำงานร่วมกันในจังหวะเดียวกัน


หลักปฏิบัติที่ใช้ได้จริงคือ

ให้ Fast Thinking ทำหน้าที่ “สร้างสมมติฐาน” และ “เปิดทางเลือก”

จากนั้น บังคับให้ Slow Thinking เข้ามาทดสอบ ตรวจสอบ และทำลายสมมติฐานเหล่านั้นอย่างเป็นระบบ ผ่านข้อมูล สถานการณ์จำลอง การตั้งคำถามเชิงโครงสร้าง หรือการให้ทีมที่เห็นต่างเข้ามาท้าทาย


บริหาร Fast Thinking อย่างไร ไม่ให้ทำร้ายกลยุทธ์


ผู้นำที่จัดการ Fast Thinking ได้ดี มักทำสองสิ่งพร้อมกัน


หนึ่ง พวกเขาลงทุนสร้าง สัญชาตญาณที่มีคุณภาพ ผ่านประสบการณ์จริง การเรียนรู้จากผลลัพธ์ และการได้รับ feedback อย่างต่อเนื่อง สัญชาตญาณที่ดีไม่ได้มาจากตำแหน่ง แต่มาจากวงจรการเรียนรู้ที่แม่นยำ


สอง พวกเขาสร้าง “จุดชะลอเชิงกลยุทธ์” (strategic speed bumps) ในการตัดสินใจเรื่องใหญ่ เช่น กรอบคำถามตายตัว เช็กลิสต์ความเสี่ยง หรือกระบวนการที่บังคับให้มีมุมมองที่หลากหลาย สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้การตัดสินใจช้าลงอย่างไร้เหตุผล แต่ช่วยป้องกันความมั่นใจเกินจริงจาก Fast Thinking


บทสรุปสำหรับผู้นำ


Fast Thinking ไม่ใช่ศัตรูของ Strategic Thinking และ Slow Thinking ก็ไม่ใช่คำตอบทั้งหมด กลยุทธ์ที่ดีเกิดจากการรู้ว่า เมื่อไรควรเชื่อสัญชาตญาณ และ เมื่อไรควรหยุดมันไว้ชั่วคราวเพื่อคิดให้ลึกขึ้น


ในโลกที่ซับซ้อนขึ้นทุกวัน ความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ไม่ได้อยู่ที่การคิดให้เร็วที่สุดหรือช้าที่สุด แต่อยู่ที่ความสามารถในการ “สลับเกียร์ทางความคิด” ได้อย่างมีวินัย และรู้เท่าทันสมองของตัวเองในทุกการตัดสินใจสำคัญ.


ree

ความคิดเห็น


ติดตามข่าวสารและอัปเดตจาก dots.

Thanks for subscribing.

bottom of page