top of page

ทำไม “สูตร Storytelling” อาจไม่เวิร์กกับเรา?


ree

ในยุคที่ใคร ๆ ก็พูดถึง “พลังของ Storytelling” การเล่าเรื่องถูกยกให้เป็นทักษะสำคัญที่นักการตลาด ผู้นำ หรือแม้แต่คนทำงานทั่วไป “ต้องมี” แต่เมื่อหลายคนลองนำสูตรเล่าเรื่องยอดนิยมอย่าง Hero’s Journey หรือ Save the Cat มาปรับใช้จริง กลับพบว่ามัน “ไม่เวิร์ก” — เรื่องไม่เข้าถึงคน ฟังดูไม่จริงใจ หรือรู้สึก “ฝืนตัวเอง” อย่างประหลาด


คำถามคือ… ทำไมสูตรที่ใคร ๆ ก็ใช้ได้ผล กลับไม่เข้ากับเรา?


1. เมื่อ “สูตร” กลายเป็น “กรง”


สูตรการเล่าเรื่องจำนวนมากถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นแนวทาง ไม่ใช่กฎตายตัว แต่ในโลกการสื่อสารปัจจุบัน หลายคนกลับยึดติดกับสูตรจนกลายเป็น “โครงเหล็ก” ที่บีบให้ทุกเรื่องต้องเดินตามแบบเดียวกัน ผลคือเรื่องราวที่ออกมามัก predictable — คนฟังจับได้ตั้งแต่กลางเรื่องว่าจะจบอย่างไร และความรู้สึกจริงใจที่ควรเกิดจาก “มนุษย์เล่าด้วยหัวใจ” กลับหายไป เหลือเพียง “สคริปต์ที่ดีแต่ไม่โดน”


2. บางสถานการณ์ “ไม่ต้องเล่าเรื่อง”


ไม่ใช่ทุกเวทีจะเหมาะกับ Storytelling โดยเฉพาะในวงประชุมธุรกิจที่เน้นเหตุผลและข้อมูล ผู้ฟังอาจต้องการ “ข้อเท็จจริงที่ตรงประเด็น” มากกว่า “เรื่องราวที่สวยงาม” การเล่าเรื่องในจังหวะที่ไม่เหมาะจึงอาจลดทอนน้ำหนักของสาร แทนที่จะเพิ่มแรงจูงใจ กลับทำให้ดูวกวนหรือ “เสียเวลา”


3. เมื่อเรื่องไม่ตรงกับผู้ฟัง


Storytelling จะมีพลังเมื่อมัน “สอดคล้องกับโลกภายในของผู้ฟัง” หากคนฟังเป็นสายคิด วิเคราะห์ หรือมีโครงสร้างความคิดแบบตรรกะสูง เรื่องที่อิงอารมณ์หรือดราม่าเกินไปอาจทำให้พวกเขารู้สึกว่าคุณ “พยายามขาย” มากกว่า “พยายามเข้าใจ” การเล่าเรื่องจึงไม่ใช่เรื่องของ “เราจะพูดอย่างไร” เท่านั้น แต่คือ “ผู้ฟังจะรับอย่างไร” ด้วย


4. เมื่อความจริงใจหายไป


Storytelling ไม่ได้เวิร์กเพราะโครงสร้างของมันดี แต่เพราะ “คนเล่า” จริงใจกับสิ่งที่พูด เมื่อเรื่องราวไม่ได้มาจากประสบการณ์หรือคุณค่าที่เราเชื่อจริง ๆ ผู้ฟังจะสัมผัสได้ทันทีว่า “เรื่องนี้แต่ง” หรือ “ดูแสดงเกินไป” ความพยายามเล่าเรื่องให้ดูดี กลับกลายเป็นการลดความน่าเชื่อถือ


5. เราอาจเป็น “นักคิด” มากกว่า “นักเล่าเรื่อง”


บางคนสื่อสารได้ดีกว่าผ่านการวิเคราะห์ เหตุผล หรือ insight มากกว่า narrative แบบดราม่า หากคุณเป็นคนคิดเชิงตรรกะหรือวางแผน การบังคับตัวเองให้ “เล่าเหมือนหนัง” อาจทำให้เสียความเป็นธรรมชาติ ลองเปลี่ยนมุมจาก “เล่าเรื่องฮีโร่” เป็น “เล่าเรื่องข้อมูลที่เปลี่ยนมุมมอง” แทน เช่น การเล่า Insight Story หรือ Reflective Storytelling ซึ่งเน้น “การเรียนรู้” มากกว่าการ “ต่อสู้”


Storytelling ไม่ได้ล้มเหลวเพราะสูตรมันแย่ แต่มันล้มเหลวเพราะ “เราใช้สูตรโดยไม่เข้าใจตัวเอง” กรอบคิดของ Storytelling ควรถูกมองเป็น “โครงไม้ไผ่” — ที่ช่วยพยุงแต่ไม่พันธนาการ ให้เราประยุกต์ใช้ตามบุคลิก สไตล์ความคิด และบริบทธรรมชาติของผู้ฟัง


เพราะสุดท้าย “เรื่องที่ทรงพลังที่สุด” ไม่ใช่เรื่องที่ถูกเล่าตามสูตร แต่คือเรื่องที่ “เรากล้าพูดในแบบของเรา”

ความคิดเห็น


ติดตามข่าวสารและอัปเดตจาก dots.

Thanks for subscribing.

bottom of page