top of page

คุณกำลังทำผิดพลาดใน Strategic Thinking โดยไม่รู้ตัวหรือไม่ ?

ree

ในหลายองค์กร เวลาพูดถึง “คิดเชิงกลยุทธ์” เรามักนึกถึงเวิร์กช็อปยาว ๆ แผนบนสไลด์สวย ๆ และเอกสารหนาหลายสิบหน้า แต่สิ่งที่ทำให้กลยุทธ์ล้มเหลวบ่อยที่สุดกลับไม่ใช่ความซับซ้อนของโมเดล หรือการขาดข้อมูล หากเป็น “รูปแบบความคิดผิด ๆ” ที่เกิดซ้ำ ๆ โดยที่ผู้นำเองก็อาจไม่รู้ตัว


ข้อที่ 1: คุณกำลังสับสนระหว่าง “กลยุทธ์” กับ “ทำงานให้มีประสิทธิภาพ” หรือไม่?


หนึ่งในความเข้าใจผิดที่พบบ่อยที่สุด คือคิดว่า “ถ้าปรับปรุงกระบวนการ ทำงานเร็วขึ้น ลดต้นทุนลง แปลว่าเรากำลังทำกลยุทธ์ที่ดี” แต่ในความเป็นจริงนั้น การทำงานให้มีประสิทธิภาพ (Operational Excellence) เป็นเพียง “พื้นฐานที่ต้องมี” แต่ไม่ใช่ “ตัวกลยุทธ์”


 ถามตัวเองว่า

เวลาประชุมกลยุทธ์ เราใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการพูดเรื่องลดต้นทุน ปรับระบบภายใน เพิ่ม workflow ใหม่ หรือการ benchmark ว่าคู่แข่งทำอะไร แล้วเราจะทำตามหรือไม่ ในสไลด์กลยุทธ์ของเรา มีคำตอบชัดเจนหรือไม่ว่า “เราจะสร้างความได้เปรียบเชิงแข่งขันแบบไหน” และ “ในสนามไหน” เมื่อเทียบกับคู่แข่ง


ถ้าคำตอบคือใช่ข้อแรก และไม่ชัดเจนในข้อที่สอง มีโอกาสสูงที่คุณกำลังโฟกัสแค่การทำสิ่งเดิมให้ดีขึ้น แต่ยังไม่ได้ตอบโจทย์สำคัญที่สุดของกลยุทธ์ คือ “เราจะชนะอย่างไร”


ข้อที่ 2: คุณมี “ของต้องทำ” มากเกินไป แต่ไม่มีคำว่า “ไม่ทำ” เลยหรือไม่?


กลยุทธ์ที่ดีมักฟังดู “เรียบง่าย” แต่ข้างในเต็มไปด้วย “การเลือก” และ “การสละ” ในทางตรงกันข้าม กลยุทธ์ที่แย่มักดูน่าประทับใจบนสไลด์ เพราะเต็มไปด้วย project, initiative, OKR และ priority จำนวนมาก


ถามตัวเองว่า

ในแผนกลยุทธ์ปีนี้ เราสามารถสรุปได้ชัดเจนหรือไม่ว่า “สิ่งสำคัญที่สุด 1–3 เรื่องที่ต้องชนะให้ได้คืออะไร”

เราเคยระบุอย่างจริงจังหรือไม่ว่า “ปีนี้เราจะไม่ทำอะไร” แม้จะเป็นเรื่องที่ดูดี หรือเป็นโอกาสที่ชวนให้สนใจ

เวลาทีมถามว่า “อันไหนสำคัญกว่ากัน” เราตอบได้ชัด หรือเรามักตอบว่า “สำคัญหมด”


ถ้าไม่มีคำว่า “ไม่ทำ” อยู่ในกลยุทธ์เลย ส่วนใหญ่จะลงเอยด้วยการกระจายทรัพยากรบาง ๆ ไปทุกทิศทาง และสุดท้ายไม่มีจุดไหนแข็งแรงจริง


ข้อที่ 3: คุณกำลังเอา “รายการงาน” มาเรียกว่า “กลยุทธ์” อยู่หรือไม่?


อีกกับดักหนึ่งคือการเอาแผนโครงการ ตารางกิจกรรม หรือ roadmap มาเรียกรวม ๆ ว่า “นี่คือกลยุทธ์ของเรา” แต่ในทางปฏิบัตินั้น โครงการและกิจกรรมเป็นเพียง “เครื่องมือ” ไม่ใช่ “เหตุผล” ว่าทำไมองค์กรถึงจะเปลี่ยนตำแหน่งทางการแข่งขันของตัวเองได้


ลองถามตัวเองว่า

ถ้าดูเอกสารกลยุทธ์ของเรา เอาโลโก้องค์กรออก แล้วเปลี่ยนชื่อบริษัทบนปก คนอ่านจะรู้หรือไม่ว่ามันเป็นของเรา หรือใครก็ใช้ได้

เราอธิบายเหตุผลได้หรือไม่ว่า “ถ้าทำ A B C ตามแผนนี้แล้ว อีก 3 ปี ตำแหน่งของเราต่อหน้าลูกค้า และคู่แข่งจะเปลี่ยนไปอย่างไร”

ในห้องประชุม เราพูดถึง “ตรรกะของกลยุทธ์” (เช่น เราเลือกเล่น segment นี้ เพราะ…, เราเลือกไม่เล่นตลาดนี้ เพราะ…) มากน้อยแค่ไหน เมื่อเทียบกับการไล่ project ทีละรายการ


หากคำอธิบายของกลยุทธ์มีลักษณะเป็น “รายการสิ่งที่จะทำ” มากกว่า “เหตุผลและสมมติฐานว่าทำไมเราจะชนะ” แปลว่าเรายังอยู่ในโหมด tactic มากกว่ากลยุทธ์



ข้อที่ 4: คุณมั่นใจในแผนของตัวเองมาก แต่ทดสอบกับอคติของตัวเองน้อยเกินไปหรือไม่?


ผู้นำจำนวนมากไม่ได้ล้มเหลวเพราะ “คิดไม่เป็น” แต่เพราะ “คิดแล้วติดกับดักความเชื่อของตัวเอง” โดยเฉพาะอคติอย่าง confirmation bias, optimism bias และ groupthink


คำถามง่าย ๆ ที่ควรถามตัวเองและทีมคือ

เราใช้เวลามากกว่าหรือไม่ในการหาข้อมูลที่ “สนับสนุน” สิ่งที่เราเชื่อ มากกว่าข้อมูลที่ “ขัดแย้ง” กับสิ่งที่เราเชื่อ

ในการประชุมกลยุทธ์ มีพื้นที่ปลอดภัยให้คนไม่เห็นด้วยแย้งอย่างจริงจังหรือไม่ หรือทุกอย่างถูกทำให้ดู “เห็นด้วยกันหมด” เพื่อความลื่นไหล เช่นเดียวกับเรามี “สัญญาณเตือนล่วงหน้า” อะไรบ้าง ที่ถ้าปรากฏขึ้นแล้ว แปลว่าแผนของเราอาจผิดทาง และต้องกล้ากลับมาทบทวน


ถ้าแผนกลยุทธ์เต็มไปด้วยตัวเลขสวยงาม เส้นกราฟที่พุ่งขึ้นแบบ hockey stick แต่ทีมไม่สามารถอธิบาย “ความเสี่ยง” และ “จุดที่อาจผิดพลาด” ได้อย่างชัดเจน แสดงว่าเรากำลังอยู่ในโหมดมองโลกสวยมากกว่าคิดเชิงกลยุทธ์


ข้อที่ 5: คุณเริ่มคิดกลยุทธ์จาก “ข้อจำกัดภายใน” มากกว่า “โอกาสภายนอก” หรือไม่?


อีกความผิดพลาดที่เจอบ่อยคือการคิดแบบ inside-out คือเริ่มจากสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว เช่น โครงสร้างเดิม ทีมเดิม ผลิตภัณฑ์เดิม ระบบเดิม แล้วค่อยถามว่า “จะทำอะไรต่อได้บ้าง” แต่กลยุทธ์ที่ทรงพลังมักเริ่มจาก outside-in และ future-back คือ

เริ่มจากลูกค้า คู่แข่ง แนวโน้มตลาด และคำถามว่า “อีก 3–5 ปีข้างหน้า โลกใบนี้จะหน้าตาอย่างไร และเราต้องการยืนอยู่ตรงไหน”


ถามตัวเองว่า

เวลาเริ่มวางแผน เราเริ่มจากสไลด์ “รีวิวผลงานปีที่แล้ว” เสมอ หรือเริ่มจาก “สภาพแวดล้อมภายนอกและภาพอนาคต”

ในการคุยกลยุทธ์ เราพูดถึงคำว่า “ลูกค้า” “ตลาด” “คู่แข่ง” “เทรนด์” บ่อยกว่า หรือพูดถึง “ทีมเรา” “ข้อจำกัดเรา” “ระบบเรา” บ่อยกว่า อีกทั้งเราเคยจริงจังกับการตั้งคำถามหรือไม่ว่า “ถ้าเริ่มจากศูนย์วันนี้ โดยไม่ติดอะไรเลย เราควรเล่นเกมไหน”


ถ้าเราคิดทุกอย่างจากสิ่งที่มีอยู่ในมือในวันนี้ กลยุทธ์ที่ได้มักเป็นแค่การ “รีแพ็กสิ่งเดิม” มากกว่าการสร้างพื้นที่ใหม่


ข้อที่ 6: คุณมีแผนกลยุทธ์ที่ดูดีบนกระดาษ แต่คนหน้างานไม่รู้จะเอาไปใช้ยังไงหรือไม่?


สุดท้าย ต่อให้คิดกลยุทธ์ได้ดีแค่ไหน ถ้าไม่สามารถเชื่อมโยงกับการตัดสินใจในชีวิตประจำวันของคนในองค์กร กลยุทธ์นั้นก็จะ “ตายอย่างเงียบ ๆ”


ลองเช็คตัวเองว่า

หากคุณเดินไปถามหัวหน้าทีม หรือคนหน้างาน 3–5 คนแบบสุ่ม ๆ ว่า “กลยุทธ์หลักขององค์กรช่วง 2–3 ปีนี้คืออะไร” พวกเขาตอบคล้ายกันหรือไม่ ?


คนในทีมรู้หรือไม่ว่า “ถ้าต้องเลือกตัดสินใจสองทาง ที่ต่างกันในทางปฏิบัติ กลยุทธ์ขององค์กรต้องการให้เขาเลือกทางไหน”


มีการเชื่อมกลยุทธ์เข้ากับตัวชี้วัด ผลตอบแทน โครงสร้างการตัดสินใจ และวงจรการเรียนรู้หรือไม่ หรือกลยุทธ์ถูกพูดถึงเฉพาะตอนทำแผนประจำปีเท่านั้น


กลยุทธ์ที่ดีต้อง “แปลออกมาเป็นวิธีใช้” ได้ เช่น ตัดสินใจแบบไหน ใช้ทรัพยากรกับอะไร ตัดอะไรทิ้งก่อน ทำอะไรแม้จะยาก ทุกสิ่งควรเชื่อมโยงกลับไปยัง “ทางเลือกเชิงกลยุทธ์” ที่เราตกลงร่วมกันแล้ว


หากตอบคำถามที่กล่าวมาอย่างตรงไปตรงมา คุณอาจพบว่า ปัญหาของกลยุทธ์ในองค์กร ไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณ “ไม่มีแผน” แต่อยู่ที่ว่า “กรอบความคิด” ที่ใช้ตอนวางแผนนั้น พาเราไปติดกับดักเดิม ๆ และการหลุดจากกับดักเหล่านี้ อาจเป็นความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดในยุคที่ทุกคนมีข้อมูล เครื่องมือ และโมเดลคล้าย ๆ กันหมดก็ได้เช่นกัน



ความคิดเห็น


ติดตามข่าวสารและอัปเดตจาก dots.

Thanks for subscribing.

bottom of page