top of page

The Burnout Trap: ทำไมคนที่มี Empathy สูงจึงหมดไฟง่ายกว่าคนอื่น

ree

แม้ Empathy จะถูกมองว่าเป็นคุณสมบัติสำคัญของการทำงานยุคใหม่ แต่เมื่อความสามารถนี้ทำงานมากเกินไป มันอาจค่อย ๆ กัดกินพลังงานภายในของเราอย่างช้า ๆ คนที่มีความไวต่ออารมณ์ผู้อื่นมักซึมซับความรู้สึกเจ็บปวด กังวล หรือผิดหวังของคนรอบตัวโดยไม่ตั้งใจ สิ่งที่เริ่มต้นจากความตั้งใจดีค่อย ๆ กลายเป็นความเหนื่อยใจลึก ๆ เพราะต้อง “รู้สึกแทน” ผู้อื่นอยู่เป็นประจำ


การรับภาระอารมณ์แบบซ้ำ ๆ ทำให้สมองอยู่ในโหมดป้องกันตัวและเผาผลาญพลังงานทางจิตใจอย่างหนัก แม้ภายนอกอาจดูเหมือนเป็นงานปกติ แต่ภายในกลับใช้พลังมากเกินกว่าที่เราคิด จนก่อให้เกิดความเหนื่อยล้าที่ยากฟื้นตัว



เมื่อตัดสินใจจากอารมณ์มากกว่าเหตุผล


Empathy ที่ไม่ถูกควบคุมอาจทำให้มุมมองของเราถูกดึงไปตามอารมณ์ของอีกฝ่ายโดยง่าย การกลัวทำให้คนอื่นเสียใจทำให้หลายคนไม่กล้าบอกความจริง ไม่กล้าปฏิเสธงาน หรือเลือกตัดสินใจแบบประนีประนอมจนตัวเองต้องรับภาระเพิ่ม


ในระยะยาว การทำงานแบบ “ยอมให้ทุกคนสบายใจ” ทำให้เราเสียสมดุลระหว่างเหตุผลกับความรู้สึก งานสะสม ความกดดันเพิ่มขึ้น และความเหนื่อยใจยิ่งทวีความรุนแรง ความเครียดเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากงาน แต่เกิดจากภาระทางอารมณ์ที่เราสร้างขึ้นเองโดยไม่รู้ตัว



ความหวังดีทำให้เรากลายเป็นศูนย์กลางความเครียดของทีม


คนที่มี Empathy สูงมักกลายเป็น “ที่พึ่งทางอารมณ์” ของผู้อื่นอย่างไม่ตั้งใจ ไม่ว่าทีมจะมีปัญหาหนักเบาเพียงใด เขามักถูกเข้าหาเป็นคนแรก ด้วยความเกรงใจ ด้วยความปรารถนาดี หรือด้วยความเป็นคนที่ใคร ๆ ก็เชื่อว่า “รับมือได้”


แต่การเป็นพื้นที่รองรับความรู้สึกของทุกคนตลอดเวลา ทำให้คนคนนั้นค่อย ๆ สูญเสียพื้นที่สำหรับตัวเอง พลังงานที่ควรใช้ทำงานกลับถูกใช้ไปในการรับมือเรื่องราวของผู้อื่นแทน เมื่อไม่มีขอบเขตชัดเจน ภาระทางอารมณ์จึงค่อย ๆ ทับถมจนกลายเป็น burnout โดยไม่รู้ตัวว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่



ทางออกไม่ใช่การลดความรู้สึก แต่คือการเปลี่ยนวิธีใช้มัน


การหลุดพ้นจากกับดักนี้ไม่ได้หมายถึงการปิดกั้นความรู้สึกหรือทำตัวเฉยชา แต่คือการขยับจาก Empathy แบบ “รู้สึกแทน” ไปสู่ความเมตตาเชิงเหตุผล หรือ Compassion ซึ่งเป็นการมองเห็นความทุกข์ของคนอื่นโดยไม่ดึงอารมณ์เหล่านั้นเข้ามาเป็นของตนเอง


การมองสถานการณ์ด้วยความเข้าใจแต่ไม่จมไปกับมัน ทำให้เรายังช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็รักษาพลังงานของตัวเองได้ดีขึ้น การตั้งขอบเขต การรู้ว่าเมื่อใดควรรับฟัง และเมื่อใดควรปล่อยผ่าน เป็นทักษะสำคัญที่ช่วยให้คนมี empathy สูงไม่ต้องแลกความหวังดีด้วยการสูญเสียตัวเอง


Empathy ที่ไม่มีการควบคุมอาจนำไปสู่จุดที่แรงของเราถูกใช้จนหมด


คนที่มี Empathy สูงไม่ได้อ่อนแอ แต่เพราะพวกเขาเปิดรับอารมณ์คนอื่นมากกว่าคนทั่วไป ความดีที่ไม่มีกรอบรองรับจึงกลายเป็นภาระที่บั่นทอนพลังงานอย่างต่อเนื่อง การตั้งขอบเขต การเปลี่ยนความรู้สึกอินให้เป็นความเมตตาที่มั่นคง และการเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเองระหว่างดูแลผู้อื่น—คือหัวใจสำคัญของการทำงานอย่างยั่งยืน


เพราะสุดท้าย การช่วยเหลือผู้อื่นได้ดี เริ่มต้นจากการรักษาพลังชีวิตของตัวเราเองให้ไม่หมดไปก่อน

 
 
 

ความคิดเห็น


ติดตามข่าวสารและอัปเดตจาก dots.

Thanks for subscribing.

bottom of page