top of page

ทำไม Data ถึงฆ่าความคิดสร้างสรรค์

ree

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา “Data-driven marketing” กลายเป็นวลีที่ทุกองค์กรต้องพูดถึง และไม่มีผู้บริหารคนใดอยากยอมรับว่าการตัดสินใจของตน “ไม่ได้อิงข้อมูล” แต่ในขณะที่ข้อมูลช่วยให้เราทำการตลาดอย่างแม่นยำขึ้น มันก็กำลังค่อย ๆ กัดกร่อนพื้นที่ของความคิดสร้างสรรค์ ที่เคยเป็นหัวใจของแบรนด์ชั้นนำทั่วโลก


การใช้ข้อมูลจึงกลายเป็นดาบสองคม — ถ้าใช้ถูก มันช่วยให้ทีมสร้างสรรค์เข้าใจผู้บริโภคได้ลึกกว่าเดิม แต่ถ้าใช้ผิด มันจะกลายเป็นกรงขังทางความคิด ที่ทำให้ทีมกลัวการลองผิดลองถูก จนแบรนด์ทุกแบรนด์เริ่มพูดภาษาคล้ายกัน และโลกของการตลาดค่อย ๆ สูญเสีย “เอกลักษณ์” ที่เคยเป็นพลังในการแข่งขัน


1. เมื่อ Data กลายเป็นผู้ควบคุมแทนที่จะเป็นผู้ช่วย


หลายองค์กรเริ่มวางระบบการตลาดแบบ “Data first” นกลายเป็น “Data only” ทุกไอเดียต้องผ่านการพิสูจน์ด้วยตัวเลข ถ้าไม่มีสถิติรองรับ ก็แทบไม่มีทางได้ถูกนำเสนอ


สิ่งนี้สร้างความมั่นใจให้ผู้บริหาร แต่กลับ ลดแรงบันดาลใจของทีมสร้างสรรค์ อย่างมหาศาล เพราะข้อมูลส่วนใหญ่สะท้อนสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ไม่ใช่สิ่งใหม่ที่ยังไม่เคยมีมาก่อน การตัดสินใจที่อิงจากข้อมูลอย่างเดียว จึงมักนำไปสู่ “การทำซ้ำในสิ่งที่เคยได้ผล” มากกว่าการค้นหาสิ่งที่จะสร้างผลลัพธ์ใหม่ในอนาคต


ผลลัพธ์คือแบรนด์จำนวนมากเริ่มผลิตเนื้อหาที่คล้ายกัน เพราะทุกคนกำลัง optimize จาก Insight เดียวกัน และ Algorithm เดียวกัน


2. เมื่อความปลอดภัยทางตัวเลขกลายเป็นกับดักทางความคิด


ในวัฒนธรรมองค์กรยุคใหม่ “การเสี่ยง” ถูกแทนที่ด้วย “ความปลอดภัย” ผู้บริหารต้องการเห็น ROI ที่ชัดเจนในทุกแคมเปญ ต้องมี data dashboard ที่บอกผลลัพธ์รายสัปดาห์อย่างละเอียด แต่ความคิดสร้างสรรค์มักไม่เติบโตในสภาพแวดล้อมแบบนั้น


เพราะ ความคิดใหม่ส่วนใหญ่เกิดจากความไม่แน่นอน — จากการลองทำสิ่งที่ยังไม่มีข้อมูลยืนยัน แต่ระบบบริหารยุคใหม่กลับบีบให้ทีมต้องสร้างความมั่นใจผ่านตัวเลขก่อน “เริ่มต้นคิด” ด้วยซ้ำ


ในเชิงกลยุทธ์ นี่คือปัญหาใหญ่ขององค์กรที่เน้น performance มากเกินไป เพราะเมื่อทุกสิ่งต้องพิสูจน์ได้ล่วงหน้า แบรนด์จะไม่มีวันสร้างความแตกต่างอย่างแท้จริง


3. Algorithm ทำให้ทุกแบรนด์พูดเหมือนกัน


ยุค Digital Marketing ทำให้คอนเทนต์ต้องถูกออกแบบเพื่อให้ “ตรงใจระบบ” มากกว่าตรงใจคนจริง ๆ

เมื่อ algorithm ของแพลตฟอร์มต่าง ๆ (เช่น Facebook, TikTok, YouTube) ชอบคอนเทนต์แบบไหน ทีมการตลาดก็จะเร่งผลิตสิ่งแบบนั้น


ผลที่ตามมาคือ ความคิดสร้างสรรค์ถูกแปรรูปให้เข้ากับสูตรสำเร็จ แบรนด์จำนวนมากเริ่มใช้เทมเพลตเดียวกัน โทนเสียงเดียวกัน และแนวภาพที่คล้ายกัน เพราะนั่นคือสิ่งที่ระบบให้รางวัล


ในระยะสั้น มันอาจเพิ่มยอด reach หรือ engagement แต่ในระยะยาว มันคือการ ทำลายความแตกต่างเชิงกลยุทธ์ (Strategic Differentiation) ของแบรนด์ไปทีละน้อย


4. จาก Data-driven สู่ Data-informed


คำตอบของปัญหานี้ไม่ใช่ “เลิกใช้ข้อมูล” แต่คือ เปลี่ยนวิธีคิดต่อข้อมูล — จาก Data-driven ที่ให้ข้อมูลเป็นผู้นำ ไปเป็น Data-informed ที่ให้ข้อมูลเป็น “เพื่อนร่วมทางของจินตนาการ”


องค์กรที่เข้าใจสิ่งนี้ เช่น Nike, Lego, หรือ Apple ใช้ข้อมูลเพื่อมองเห็น “สิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ” แต่ยังเปิดพื้นที่ให้ทีมสร้างสรรค์ “ตีความ” ข้อมูลนั้นด้วยมุมมองใหม่ ๆ พวกเขาไม่ใช้ Data เพื่อคุมความคิด แต่ใช้มันเพื่อจุดประกายความคิด


ในมุมกลยุทธ์ นี่คือความแตกต่างระหว่างการตลาดที่ ขับเคลื่อนด้วยตัวเลข กับการตลาดที่ ขับเคลื่อนด้วยมนุษย์


5. สมดุลระหว่าง “ความแม่นยำ” กับ “ความกล้า”


องค์กรที่เติบโตได้จริงในยุคนี้คือองค์กรที่เข้าใจการใช้ “สมองสองซีก”

  • สมองซีกซ้ายคือ เหตุผลและข้อมูล ที่ทำให้ตัดสินใจอย่างมีหลักฐาน

  • สมองซีกขวาคือ จินตนาการและอารมณ์ ที่ทำให้ผู้คนจดจำแบรนด์ได้


ข้อมูลช่วยให้เรารู้ว่าต้องพูดอะไรให้ถูกที่ ถูกเวลา แต่ความคิดสร้างสรรค์คือสิ่งที่ทำให้คนอยากฟังเราต่อ


ดังนั้น แทนที่องค์กรจะถามว่า “Data บอกให้เราทำอะไร?” คำถามที่สำคัญกว่าคือ “Data ช่วยให้เรากล้าทำสิ่งใหม่ได้อย่างไร?”


ความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้หายไปจากวงการการตลาด มันเพียงแค่ถูกกดทับไว้ใต้กราฟและตัวเลขที่เรียงรายอยู่ในรายงานการประชุม


ในยุคที่ทุกแบรนด์มี Data เท่ากัน สิ่งที่จะสร้างความแตกต่างได้ไม่ใช่ “ข้อมูลที่ดีกว่า” แต่คือ จินตนาการที่กล้าใช้ข้อมูลในแบบที่คนอื่นไม่กล้า และนั่นคือจุดที่ Data จะไม่ฆ่าความคิดสร้างสรรค์ แต่จะกลายเป็นเชื้อไฟที่ปลุกมันขึ้นมาอีกครั้ง

ความคิดเห็น


ติดตามข่าวสารและอัปเดตจาก dots.

Thanks for subscribing.

bottom of page