การทำ Personalization หรือการปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละกลุ่ม กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ในยุคที่ลูกค้ามีความคาดหวังสูงขึ้นเรื่อยๆ การทำ Personalization อย่างเดิมอาจไม่เพียงพออีกต่อไป นี่จึงเป็นที่มาของ Hyperpersonalization ที่จะยกระดับประสบการณ์เฉพาะบุคคลไปอีกขั้น
Hyper-personalization คือการนำข้อมูลจากหลากหลายแหล่งมาผสมผสาน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลประชากรศาสตร์ พฤติกรรมการซื้อ ประวัติการค้นหา ความสนใจ ไลฟ์สไตล์ ฯลฯ จากนั้นนำมาวิเคราะห์ด้วยเทคโนโลยี AI และ Machine Learning เพื่อทำความเข้าใจลูกค้าแต่ละคนอย่างลึกซึ้ง และคาดการณ์ความต้องการของพวกเขาได้แม่นยำยิ่งขึ้น จากนั้นจึงใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการสร้างสรรค์เนื้อหา ข้อเสนอ และประสบการณ์ที่เหมาะกับลูกค้าเฉพาะบุคคลแบบเรียลไทม์
ในขณะที่ Personalization แต่ก่อนนั้นจะเน้นไปที่การแบ่งกลุ่มลูกค้าตามคุณลักษณะบางอย่างที่เหมือนกัน เช่น เพศ อายุ หรือความสนใจด้านใดด้านหนึ่ง แล้วสร้างเนื้อหาสำหรับกลุ่มนั้น ๆ ด้วยข้อจำกัดของเทคโนโลยี แต่ Hyperpersonalization จะมองลูกค้าแต่ละคนอย่างเฉพาะเจาะจงและครบทุกมิติมากขึ้น โดยใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีในเชิงลึกเพื่อปรับแต่งทุกอย่างให้เหมาะกับแต่ละคนอย่างไม่ซ้ำกัน
ตัวอย่างของ Hyper-personalization เช่น Netflix ที่แนะนำภาพยนตร์และซีรีส์ตามรสนิยมส่วนตัวให้กับผู้ใช้แต่ละราย หรือ Facebook ที่ปรับเนื้อหาหน้า Feed ให้เหมาะสมกับผู้ใช้งานแต่ละคน เป็นต้น
การทำ Hyper-personalization ได้อย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ทันสมัย การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลที่มีคุณภาพ รวมถึงความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบคอนเทนต์และประสบการณ์ที่โดดเด่น หากทำได้ดี Hyperpersonalization จะช่วยสร้างความประทับใจ เพิ่มการมีส่วนร่วม กระตุ้นให้เกิดการซื้อซ้ำ และสร้างความผูกพันกับแบรนด์ในระยะยาว ท่ามกลางโลกที่ผู้บริโภคร้อยละ 80 คาดหวังประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัว Hyper-personalization จึงเป็นกลยุทธ์ที่ทุกแบรนด์ควรนำมาปรับใช้มากขึ้นเพื่ออนาคตที่สดใสในยุคดิจิทัล
Comments