ทุกวันนี้ผมเชื่อว่า Digital Marketing น่าจะกลายเป็นเรื่องที่ยอมรับและให้ความสำคัญกับหลายๆ องค์กรมากขึ้นกว่าสมัยก่อน บางองค์กรอาจจะพูดกันเลยว่าเราจะจริงจังกับ Digital Marketing มากขึ้น
แต่พอเราพูดกันว่าจะทำ Digital Marketing จริงจังมากขึ้นนั้น บางคนอาจจะไปคิดว่ามันคือการเอาเงินมาซื้อสื่อออนไลน์มากขึ้น ไปซื้อโฆษณาบน Facebook YouTube Instagram หรือไม่ก็ใช้เงินกับการเปิด Social Media อย่าง Facebook Twitter อะไรทำนองนั้น
ซึ่งผมว่ามันก็ไม่แปลกอะไรถ้าเราจะมองมันแบบการสื่อสารการตลาดแบบที่เราคุ้นเคยว่าการตลาดก็คือการโฆษณาและใช้ช่องทางเป็นสื่อให้กับแบรนด์ ฉะนั้น Digital Marketing ก็จะถูกมองว่าเป็นการซื้อสื่อเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายบนโลกออนไลน์นั่นเอง (และเอาจริงๆ มันก็เป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงเยอะที่สุดอย่างช่วยไม่ได้)
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมค่อนข้างรู้สึกเป็นห่วงคือว่า Digital Marketing นั้นมีอะไรมากกว่าแค่การ “ซื้อสื่อ” อย่างที่หลายๆ คนทำกัน เพราะต่อให้เรามีสื่อ ก็ใช่ว่าจะเวิร์คเสมอไป ทั้งนี้เพราะรูปแบบการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ต่างๆ ของคนหลังจากที่เริ่มใช้ชีวิตกับออนไลน์นั้นเปลี่ยนไปอยู่ไม่น้อย คนทำการตลาดในวันนี้เลยไม่ใช่คิดแค่เรื่องของการซื้อสื่อเพียงอย่างเดียว เพราะอันที่จริงเราก็รู้ๆ กันอยู่แล้วว่าการตลาดนั้นกว้างอยู่มากพอสมควร ไม่ว่าจะเป็น
การสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย
การทำการศึกษา / วิจัยพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย
การให้ความช่วยเหลือกับลูกค้า
การทำประชาสัมพันธ์
การทำกิจกรรมเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย
การทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย
การบริหารลูกค้าสัมพันธ์
ฯลฯ
ผมมักพูดบ่อยๆ ว่าการทำ Digital Marketing มันก็คือการทำ “การตลาด” ทั้งก้อน โดยใช้พื้นที่ของโลกออนไลน์ นั่นหมายความว่าถ้าปรกติเราทำการตลาดอะไรบ้าง เราก็ต้องมองด้วยว่ามันจะสามารถทำบนโลกออนไลน์ได้อย่างไร
โจทย์ของ Digital Marketing วันนี้จึงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อย่างที่หลายๆ คนคิด เช่นเดียวกับมันก็ไม่ใช่ว่าเอาเงินก้อนใหญ่มาซื้อโฆษณาแล้วจะเพียงพอ เพราะมันมีมิติของอีกมากมายของการตลาดที่สามารถใช้พื้นที่ของโลกดิจิทัลในการสร้างโอกาสทางการตลาดนั้น
แล้วนั่นก็อยู่ที่นักการตลาดจะมองเห็นโอกาสนั้นหรือเปล่า