การทำงานหนักอาจจะฟังเป็นเรื่องที่หลายๆ คนได้ยินแล้วรู้สึกเหนื่อยแทบจะทันที แม้ว่าเราจะพยายามบอกกันว่าการทำงานที่ดีไม่ใช่การทำงานหนัก แต่เราก็ต้องยอมรับว่าบรรดาคนที่ประสบความสำเร็จหลายๆ คนนั้นก็ทำงานหนักกันทั้งนั้น (แต่นอกจากหนักแล้ว เขายังทำงานฉลาดด้วยนั่นแหละ)
เราจะเห็นว่าพื้นฐานสำคัญของการก้าวหน้าและการพัฒนาตัวเองไปให้ถึงอีกระดับหนึ่งได้นั้นก็มาจากการทุ่มเท อดทน และฝึกฝนอยู่อย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องที่น่าภิรมย์เสียเท่าไร และมันก็ไม่ใช่เรื่องสวยงามนักเพราะเมื่อคุณลงมือทุ่มเททำงานแล้วนั้น เวลาจริงๆ คุณจะพบกับความเหนื่อยล้า พบกับความผิดหวัง และพบกับความรู้สึกประเภท “นี่ชั้นทำอะไรอยู่” หรือ “ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย” ที่พร้อมจะฉุดให้คุณเลิกทำได้ทุกเมื่อ
เอาล่ะ เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เราจะหาวิธีอะไรดีมาทำให้เราสามารถก้าวข้ามความรู้สึกลบๆ เหล่านั้นและทำให้เราทำงานได้หนักขึ้น หรืออดทนได้มากขึ้นล่ะ? เรื่องนี้ผมเลยขอหยิบบล็อกของ Inc มาลองเล่าให้ฟังแล้วกันนะครับ
1. คุณต้องมีภาพที่ชัดเจนว่าปลายทางนั้นของคุณคืออะไร
เวลาเราพูดเรื่องการพัฒนาตัวเองนั้น การตั้งเป้าหมายมักเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงบ่อยมากที่สุดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอย่างนั้นเพราะถ้าคุณมีเป้าหมายที่ชัดเจน มันก็จะยิ่งเป็นแรงจูงใจและแรงพลักดันที่คอยบอกตัวคุณเองได้ว่าคุณเหนื่อยไปเพื่ออะไร และยิ่งเป้าหมายนั้นยิ่งใหญ่หรือสำคัญกับคุณมากแค่ไหน มันก็จะยิ่งเป็นเหตุผลที่หนักแน่นพอที่จะทำให้คุณตอบตัวเองได้ว่าทำไมคุณต้องพยายามมากขึ้นไปอีก
สำหรับตัวผมเองนั้น คนที่รู้จักผมมักจะพูดกันเสมอๆ ว่าผมเป็นคนทำงานหนักมาก แต่หลายๆ ทีผมก็จะอธิบายว่าผมไม่ได้มองว่ามันคือการทำงาน แต่สำหรับผมมันคือการพัฒนาตัวเองเพื่อให้ผมเก่งขึ้นและไปสู่ตัวผมที่วาดฝันเอาไว้ และผมว่าแนวคิดนี้เองก็มีหลายๆ คนคิดไม่ต่างกัน เพราะมันคือการมองไปที่เป้าหมายมากกว่าจะสนใจว่าวันนี้เราเหนื่อยแค่ไหน ยิ่งเรากระหายที่จะไปถึงเป้าหมายมากแค่ไหนแล้ว เราก็จะเปลี่ยนวิธีมองสิ่งที่เราทำอยู่ในแต่ละวันไปมากขึ้นเท่านั้น
ถามผมแล้ว ทุกวันนี้ผมเหนื่อยไหม เชื่อเถอะครับว่ามัน “ไม่สบาย” หรอกฮะ อย่างตอนที่ผมพิมพ์บล็อกนี้เองนั้น ผมก็อยู่ในสภาวะที่เหนื่อยจนแทบจะสลบจากมรสุมงานอยู่เหมือนกัน แต่เพราะผมมี “คำตอบ” ของผมที่บอกตัวเองอยู่ทุกวันว่าทำไมเราต้องทำ และทำไปจะได้อะไร มันเลยทำให้ผมยังคงเดินหน้าทำต่อมาเรื่อยๆ นั่นแหละฮะ
2. ดูแลร่างกายคุณด้วย
หลายๆ ครั้งที่คุณไม่สามารถทำงานหนักๆ หรือทุ่มเทกับอะไรให้สุดๆ ได้นั้นไม่ใช่เรื่องของจิตใจหรือทัศนคติ แต่คือสุขภาพของคุณที่ไม่เอื้ออำนวยนั่นแหละ กับตัวผมเองในช่วงที่ป่วยนั้น แน่นอนว่าสภาพร่างกายทำให้ศักยภาพต่างๆ ที่เคยตื่นตัวและอยากทำโน่นทำนี่นั้นกลับไปโหมดอยากนอนเฉยๆ และต่อให้มีแรงใจมากแค่ไหนก็ยากจะฉุดขึ้นมา
เรื่องนี้เลยอาจจะต้องทำให้คุณต้องกลับมาถามตัวเองว่าวันนี้ร่างกายของคุณอยู่ในภาวะที่พร้อมจะลุยงานหนักๆ หรือทุ่มเทในการทำงานหรือเปล่า คุณนอนมาเพียงพอไหม คุณกินข้าวมาเพียงพอหรือเปล่า ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะมีส่วนอย่างมากกับการทำงานโดยที่คุณไม่รู้ตัว (ลองคิดง่ายๆ ว่าเวลาที่คุณอิ่มท้องนั้น ความคิดของคุณมักจะวิ่งฉิว ต่างจากเวลาที่คุณโรยราแล้วความคิดคุณจะตื้อจนนั่นแหละฮะ)
3. เปลี่ยนให้กลายเป็นนิสัย
สำหรับคนหลายๆ คนนั้น การทำงานประเภทกระโจนเข้าหางานนั้นไม่ใช่เรื่องที่ต้องมานั่งปลุกใจหรือคอยสร้างแรงบันดาลใจกันทุกครั้ง ลองนึกเหมือนกับคนที่ไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสก็ได้ครับ หลายๆ คนที่เข้าฟิตเนสหรือออกกำลังกายนั้นไม่ได้ม