ฟังหัวข้อแล้วอาจจะดูแปลกๆ นะครับ แต่ตอนที่ผมอ่านบล็อกของ Inc ว่าด้วยจุดอ่อนของการที่เราทำดีกับคนอื่นมากเกินไปก็ทำให้ผมฉุกคิดหลายๆ ประเด็นอยู่เหมือนกัน
เอาจริงๆ แล้ว การทำดีกับคนอื่นคงเป็นพื้นฐานที่เราคงพยายามบอกให้ทุกคนพยายามปฏิบัติโดยเฉพาะในที่ทำงาน เพราะถ้าเราทำงานกันแบบบึ้งตึงหรือไม่มีน้ำใจต่อกันแล้ว มันก็คงยากที่จะสร้างความเป็นทีมขึ้นมาได้ ชุดความคิดของการให้คนทำงานมีน้ำใจต่อกันจึงเกิดขึ้น แต่ก็นั่นแหละที่หลายๆ ครั้งผลตอบรับมันก็ไม่ได้ดีอย่างที่เราคาดหวังเสมอไป ทั้งนี้เพราะคนบางคนไม่ได้มองน้ำใจของเราแบบเดียวกับที่เรามองสักเท่าไร รวมไปถึงคนบางคนที่อยากจะเอาเปรียบเราจากความใจดีนั่นแหละ
5 ข้อนี้อาจจะดูมองโลกแง่ร้ายไปบ้าง แต่ผมว่ามันก็น่าเอามาคิดต่อก็ดีนะครับ
1. คนจะมองว่าคุณอ่อนแอ
กรณีนี้อาจจะคล้ายๆ กับคนประเภทที่ยอมไปเสียหมดเพราะคิดว่านั่นจะทำให้คนอื่นรู้สึกดีกับตัวเองหรือทำให้ตัวเองเป็นที่ยอมรับ แต่จริงๆ แล้วการยอมคนอื่นมากเกินไปโดยที่ไม่ได้มีจุดยืนของตัวเองเสียเลยมันไม่ใช่เรื่องของการมีน้ำใจหรืออยากช่วยเหลือคนอื่น แต่มันกลายเป็นการทำให้คุณถูกมองว่าอ่อนแอและสู้คนอื่นไม่ได้ ฉะนั้นคุณต้องรู้ตัวอยู่ว่าตอนนี้คุณกำลังอยู่ในจุดไหนกันแน่ หากมันกลายเป็นว่าคนกำลังพยายามใช้ประโยชน์จากคุณแทนที่จะรู้สึกดีกับคุณแล้ว คุณอาจจะต้องเปลี่ยนวิธีแล้วล่ะครับ
2. คุณดีกับคนอื่น ยกเว้นตัวเอง
มันก็จะมีคนบางประเภทอีกเช่นกันที่ดีกับทุกคนไปหมด เว้นเสียแต่ตัวเอง ยอมคนอื่น ทำให้คนอื่นด้วยความเต็มใจ แต่กลับลืมให้เวลากับตัวเอง ไม่ได้ให้ความสุขกับตัวเอง หรือให้ความสำคัญกับชีวิตของตัวเอง กรณีนี้ผมเองก็เคยเป็นกับตัวเหมือนกัน เพราะหลายๆ ครั้งเราก็จะคิดว่าอยากให้คนอื่นยอมรับเป็นสำคัญจนลืมมองว่าตัวเราเองคือฐานของความสุขที่แท้จริง ถึงจุดหนึ่งจะกลายเป็นว่าเราเปลี่ยนไปหวังว่าจะสุขได้ก็ต่อเมื่อคนอื่นมีความสุข ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย ฉะนั้นแล้ว อย่าลืมให้ความสุขกับตัวเองเสียก่อน ก่อนที่จะให้ความสุขกับคนอื่นๆ นะครับ
3. คุณจะดึงดูดคนไม่ดีเข้ามาหาคุณ
แม้ว่าเราจะพูดกันบ่อยๆ เรื่องคนดีจะดึงดูดคนดีเข้าหานั้น แต่ในความจริงก็จะมีคนไม่ดีหรือคนประเภทที่หวังตักตวงประโยชน์จากคนอื่นเข้ามาร่วมผสมโรงด้วยเช่นกัน มันเลยไม่แปลกที่เรามักจะเห็นเพื่อนกิน หรือคนที่คอยเข้ามาเมื่อคนบางคนทำดีมากเกินไปนั่นแหละ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ทำดีกับผู้อื่นด้วยแล้วก็คอยสอดส่องดูว่าคนเหล่านั้นเป็นคนที่จริงใจกับคุณด้วยหรือเปล่านะครับ
4. คุณอาจจะถูกมองว่าไม่จริงใจ
ฟังแล้วอาจจะดูงงๆ แต่ในทุกวันนี้เรามักจะเจอคนพูดทำนองว่าหาคนจริงใจได้น้อยมากแล้ว ในบางวงการแทบจะไม่มีคนที่เชื่อใจได้หรือคนดีประเภทที่คบกันได้ มันเลยทำให้การที่คุณทำดีมากๆ อาจจะถูกมองว่าเป็นการสร้างภาพหรือเฟคขึ้นมาได้เช่นกัน เรื่องนี้ตอนแรกผมก็ไม่เคยคิดอะไรมาก แต่จากประสบการณ์ของผมนั้น หลายๆ องค์กรเองก็เข้าข่ายแบบนั้น คือพอเจอคนทำดี คนที่ช่วยเหลือคนอื่น ก็มองว่าประหลาด แล้วก็เกิดเสียงซุบซิบนินทาตามมาซะอย่างนั้น (แต่ไอ้คนเอาเปรียบคนอื่นกลับไม่โดนนินทา) น่าแปลกดีไหมล่ะครับ
5. คุณจะสร้างความคาดหวังในอนาคต
เรื่องนี้มักเกิดขึ้นบ่อยๆ ประเภทพอขอให้ช่วยครั้งหนึ่งแล้วก็ช่วยแต่โดยดี ครั้งต่อไปจะกลายเป็นเหมือนพันธะว่าต้องทำไปโดยปริยายทั้งที่เจ้าตัวอาจจะไม่ได้สะดวกใจเหมือนครั้งแรก ปัญหานี้มาจากการที่คนสองฝ่ายที่อยู่คนละโหมดกัน คนที่ช่วยเหลือก็อยู่ในโหมดของการให้น้ำใจและปรารถนาดี แต่อีกฝั่งมองว่าเป็นหน้าที่หรือเป็นข้อเสนอผูกมัดไป และแน่นอนว่าเพราะเรื่องแบบนี้แหละ ทำให้หลายๆ คนไม่อยากให้ความช่วยเหลือใครๆ โดยไม่จำเป็น
อ่านจบ 5 ข้อแล้ว คิดเห็นอย่างไรกันบ้างครับ แม้ว่ามันอาจจะดูแย่ๆ เสียหน่อย แต่ก็อย่างที่เรามักพูดกันว่าทำอะไรก็ควรแต่พอดี ไม่ใช่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป การช่วยเหลือและดีกับผู้อื่นก็เป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว แต่ก็รู้จักประมาณตัว และวิเคราะห์สภาวะต่างๆ ให้ดีด้วยเหมือนกันนะครับ ^^